หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ดาวเคราะห์แคระ


ดาวเคราะห์แคระ
นิยามของดาวเคราะห์แคระ
  • อยู่ในวงโคจรรอบดาวฤกษ์ แต่ตัวมันเองไม่ใช่ดาวฤกษ์
  • มีมวลพอเพียงที่จะมีแรงโน้มถ่วงของตัวเอง เพื่อเอาชนะแรง rigid body forces ทำให้รูปทรงมีสมดุลไฮโดรสแตติก (เกือบเป็นทรงกลมสมบูรณ์)
  • ไม่สามารถควบคุมแรงดึงดูดและวงโคจรของสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบวงโคจรของมัน
  • ไม่ใช่ดวงจันทร์บริวาร
1.ดาวพลูโต
ความเป็นจริงของประเภท ดาวพลูโต

การท่องระบบสุริยะจบลงที่ ซึ่งเดิมที่ต้องจบลงที่ดาวพลูโต ซึ่งถือเป็นดาวเคราะห์ดวงสุดท้ายในทั้งหมด 9 ดวง และเป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างไกลดวงอาทิตย์มากที่สุด หากยืนอยู่บนดาวพลูโต แล้วมองเข้ามาหาจุดศูนย์กลางของระบบสุริยะจะเห็นดวงอาทิตย์เล็กนิดเดียว คล้ายกับที่เรามองเห็นดาวเป็นจุดเล็กๆในท้องฟ้า


โดยแท้จริงนั้น ดาวพลูโต มีข้อแตกต่างจากดาวเคราะห์อื่นอย่างมาก ด้วยมีขนาดเล็กมีวงโคจรแบบ Eccentric (เยื้องศูนย์กลาง หรือคล้ายลูกเบี้ยว) รวมทั้งมีความเอียงเทลาด (Inclined) มากถึง 17 องศา


ส่วนองค์ประกอบของดาวพลูโต เป็นหินและน้ำแข็ง มีความต่างจากดาวเคราะห์ทั้ง 8 ดวงในระบบสุริยะ เพราะเมื่อตรวจสอบแล้วปรากฎว่าเป็น ลักษณะแบบเดียวกับ ดาวหาง (Comets) นั้นเป็นข้อมูลการโต้แย้งกันเมื่อ ค.ศ.1990


บัดนี้ดาวพลูโตถูกกำหนดประเภทให้ใหม่ เป็นดาวเคราะห์แคระ (Dwarf planet)

เมื่อ 24 สิงหาคม ค.ศ. 2006 หลังจากเป็นประเภทดาวเคราะห์ (Planet) 75 ปี
ยังได้กำหนดให้ดาวพลูโต เป็นวัตถุต้นแบบ ของกลุ่มวัตถุที่เรียกว่า Plutoid โดย
เป็นกลุ่มย่อยของดาวเคราะห์แคระ ใช้เรียกดาวเคราะห์แคระที่อยู่ไกลกว่าวงโคจร
ของดาวเนปจูน

ดังนั้นการจัดประเภทใหม่ มิได้้เป็นเรื่องที่น่าวิตก ตราบใดที่ดาวพลูโต ก็ยังเป็นดาวพลูโตอยู่อย่างเดิม อนาคตหากมีการสำรวจระยะใกล้ชิด ในแต่ละชนิดของวัตถุระบบสุริยะ ไม่แน่นักอาจมีการจัดประเภทใหม่ เพิ่มเติมขึ้นอีกเป็นได้
 






ดาวพลูโต กำเนิดจากดาวหาง ?

ขนาดดาวพลูโต เล็กเท่ากับ 2 ใน 3 ของดวงจันทร์ (โลก) มีหินเป็นแกนในถูกห่อหุ้ม ไปด้วย Nitrogen, Methane ของน้ำและน้ำแข็ง มีความหนาแน่นต่ำ ปริมาตรมวลของ ดาวพลูโตเท่ากับ1 ใน 6 ดวงจันทร์ (โลก)


หากมองพื้นผิวจะเห็นความใสของชั้นน้ำแข็งแห้ง ผสมรวมกับ Carbon monoxide

เมื่อถึงช่วงโคจรเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ น้ำแข็งจะละลาย ท่วมเป็นชั้นบางๆบนพื้นผิว
แบบชั่วคราว

บนดาวพลูโตมีความกดดันเพียง 1 ใน 1,000,000 เมื่อเทียบกับชั้นบรรยากาศโลก

ซึ่งถ้าเอาสิ่งของจากโลก ไปวางตั้งบนดาวพลูโต จะลอยเคว้งขว้างไปทั่วเหตุจาก
แรงดึงดูด น้อย ราว 6% เมื่อเทียบกับโลก จึงเป็น ต้นเหตุทำให้มีชั้นบรรยายกาศ
แผ่ปกคลุมในระดับสูงมาก และการที่มีวงโคจรเป็นรูปไข่ (Elliptical) เมื่อถึงช่วง
ห่างไกลดวงอาทิตย์ ทำให้หนาวเย็นจัด บางครั้งชั้นบรรยายกาศเกิดน้ำแข็งขึ้นได้

ด้วยมีขนาดเล็ก และอยู่ไกลอย่างมาก บริเวณที่เรียกว่า Kuiper Beltอาจเรียกว่า

เป็นบริเวณ พิภพน้ำแข็ง ดังนั้นเชื่อว่าดาวพลูโต คือ 1 ใน 100 ของดาวหางขนาด
ใหญ่ (Large comets) ที่เป็นลักษณะ Iceballs (ลูกบอลน้ำแข็ง) เหมือนก้อน
น้ำแข็ง ซึ่งไม่มีหาง







อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ข้อมูลดาวพลูโตนั้นมีน้อย ในราวกลาง ค.ศ.2015 เมื่อยาน
สำรวจ New Horizons เดินทางไปถึง คงจะสามารถรายงานข้อมูลของดาวพลูโต
และวัตถุต่างๆ ในบริเวณพิภพน้ำแข็ง และสุดขอบระบบสุริยะ กลับมาให้ทราบ

ดวงจันทร์น้ำแข็ง ของดาวพลูโต

ดาวพลูโตมีดวงจันทร์ 3 ดวงคือ ดวงจันทร์ Charon (134340 I) มีขนาดเล็กมาก
เส้นผ่าศูนย์กลางราว 1,000 กม. เป็นวัตถุแบบเดียวกับดาวหาง สำหรับอีก 2 ดวง
คือ ดวงจันทร์ Hydra (134340 III) และดวงจันทร์ Nix (134340 II) 

ทั้งหมดจัดว่าเป็นกลุ่ม วัตถุที่โคจรในเขต Kuiper Belt โดยมีแรงดึงดูดยึดเกี่ยว
ซึ่งกันและกันในจังหวะการโคจร (Synchronous orbit) ดวงจันทร์แต่ละดวงจะ
รักษาตำแหน่ง หันด้านนั้นเข้าหากันตลอดเวลา รวมทั้งหันซีกเดียวกันให้ดาวพลูโต
เป็นลักษณะส่ายไปส่ายมา 

ดวงจันทร์ Charon นั้นปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง ในทางทฤษฎีเชื่อว่าดวงจันทร์
Charon กำเนิดจากการชนปะทะทำให้ ส่วนหนึ่งของดาวพูลโตกระเด็นออกมา 
เช่นเดียวกับ การกำเนิดดวงจันทร์ (โลก)







2.ซีรีส


ซีรีส (อังกฤษCeres) หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า 1 ซีรีส เป็นดาวเคราะห์น้อยดวงใหญ่ที่สุดและเป็นดาวเคราะห์แคระดวงเดียวในระบบสุริยะชั้นในเป็นดาวเคราะห์น้อยดวงแรกที่ถูกค้นพบ โดยจูเซปเป ปีอาซซี นักดาราศาสตร์ชาวอิตาลี เมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1801 ตั้งตามชื่อซีรีส เทพีโรมันแห่งการปลูกพืช เก็บเกี่ยวและความรักอย่างมารดา

ซีรีสมีเส้นผ่าศูนย์กลางราว 950 กิโลเมตรและประกอบด้วยมวลหนึ่งในสามของมวลทั้งหมดในแถบดาวเคราะห์น้อย พื้นผิวซีรีสอาจเป็นส่วนผสมของน้ำแข็งและธาตุที่ถูกไฮเดรต เช่น คาร์บอเนตและดินเหนียวซีรีสจำแนกเป็นแก่นหินและแมนเทิลน้ำแข็ง และอาจมีมหาสมุทรน้ำในสถานะของเหลวกักเก็บไว้ใต้พื้นผิว
จากโลก โชติมาตรปรากฏของซีรีสอยู่ระหว่าง 6.7 ถึง 9.3 ดังนั้นแม้ในช่วงสว่างที่สุดก็ไม่อาจเห็นได้ด้วยตาเปล่า ยกเว้นท้องฟ้าที่มืดอย่างยิ่ง วันที่ 27 กันยายน ค.ศ. 2007 นาซาส่งยานสำรวจอวกาศดวอ์นไปสำรวจเวสตา (2011-2012) และซีรีส (2015)
การค้นพบ
แนวคิดที่ว่ามีดาวเคราะห์ที่ยังไม่ถูกค้นพบอยู่ระหว่างวงโคจรของดาวอังคารกับดาวพฤหัสบดี ได้รับการเสนอโดยโยฮันน์ อีแลร์ต โบเดอใน ค.ศ. 1772 ก่อนหน้าใน ใน ค.ศ. 1596 เคปเลอร์ได้สังเกตช่องว่างระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัสบดีแล้วการพิจารณาของโบเดออิงกฎของทิเทียส-โบเดอ ซึ่งปัจจุบันถูกล้มล้างแล้ว ที่เสนอขึ้นครั้งแรกโดยโยฮัน ดาเนียล ทิเทียสใน ค.ศ. 1766 จากการสังเกตว่ามีรูปแบบสม่ำเสมอในกึ่งแกนเอกของดาวเคราะห์ที่ทราบกัน แต่ใช้ไม่ได้เฉพาะกับช่องว่างใหญ่ระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัสบดีเพียงจุดเดียวรูปแบบดังกล่าวทำนายว่าดาวเคราะห์ที่หายไปมีกึ่งแกนเอกที่ใกล้กับ 2.8 หน่วยดาราศาสตร์ การค้นพบดาวยูเรนัสของวิลเลียม เฮอร์เชลใน ค.ศ. 1781 ใกล้กับระยะห่างที่ทำนายไว้จากวัตถุถัดไปจากดาวเสาร์เพิ่มความเชื่อมั่นในกฎของทิเทียสและโบเดอ และใน ค.ศ. 1800 พวกเขาส่งคำร้องไปยังนักดาราศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญยี่สิบสี่คน ร้องขอให้พวกเขาประสานงานกันและเริ่มต้นค้นหาดาวเคราะห์ที่คาดคะเนไว้อย่างเป็นระบบ กลุ่มนี้ ซึ่งนำโดยฟรันซ์ ซาแวร์ ฟอน ซัค บรรณาธิการโมนัทลีเชอคอร์เรสปอนเดนซ์ (Monatliche Correspondenz) ขณะที่พวกเขาไม่พบซีรีส ภายหลังได้พบดาวเคราะห์น้อยขนาดใหญ่จำนวนมาก
หนึ่งในนักดาราศาสตร์ที่ถูกเลือกมาค้นหานั้นมีจูเซปเป ปีอาซซีจากสาถบันปาเลอร์โม ซิซิลี ก่อนได้รับการเชิญให้เข้าร่วมกลุ่ม จูเซปเป ปีอาซซีค้นพบซีรีสแล้วเมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1801 เขากำลังค้นหา "[ดาวฤกษ์]ดวงที่ 87 ในบัญชีรายชื่อดาวฤกษ์จักรราศีของคุณลา ไคลล์" แต่พบว่า "มันตามหลังอีกดวงหนึ่ง" แทนที่จะพบดาวฤกษ์ เขากลับพบวัตถุคล้ายดาวฤกษ์เคลื่อนที่ ซึ่งตอนแรกเขาคิดว่าเป็นดาวหาง ปีอาซซีสังเกตซีรีสรวม 24 ครั้ง ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1801 เมื่อความเจ็บป่วยรบกวนการเฝ้าสังเกตของเขา เขาประกาศการค้นพบของตัวเมื่อวันที่ 24 มกราคม ค.ศ. 1801 ในจดหมายถึงนักดาราศาสตร์ผู้ติดตามเพียงสองคน บาร์นาบา โอเรียนีแห่งมิลาน เพื่อนร่วมชาติ และโบเดอแห่งเบอร์ลิน เขารายงานว่ามันเป็นดาวหางแต่ "เพราะการเคลื่อนที่ของมันช้ามากและค่อนข้างมีแบบแผน มันได้ปรากฏต่อผมหลายครั้งจนมันน่าจะเป็นอะไรที่ดีกว่าดาวหาง" ในเดือนเมษายน ปีอาซซีส่งการสังเกตสมบูรณ์ของเขาไปยังโอเรียนี โบเดอและเจอโรม ลาล็องด์ในกรุงปารีส ข้อมูลนี้ได้รับการตีพิมพ์ในโมนัทลีเชอคอร์เรสปอนเดนซ์ฉบับเดือนกันยายน ค.ศ. 1801
ถึงขณะนี้ ตำแหน่งปรากฏของซีรีสได้เปลี่ยนไปแล้ว (ส่วนใหญ่เนื่องจากการหมุนโคจรของโลก) และใกล้แสงจ้าของดวงอาทิตย์เกินกว่าที่นักดาราศาสตร์คนอื่นจะยืนยันการสังเกตของปีอาซซีได้ ซีรีสควรมองเห็นได้อีกครั้ง แต่หลังจากเวลานานเช่นนั้น เป็นการยากที่จะทำนายตำแหน่งที่แน่ชัด เพื่อหาซีรีสอีกครั้ง คาร์ล ฟรีดริช เกาส์ ซึ่งขณะนั้นอายุ 24 ปี พัฒนาวิธีการตรวจหาวงโคจรที่มีประสิทธิภาพ เขาจัดงานพิจารณาการเคลื่อนที่แบบเคปเลอร์จากการสังเกตสมบูรณ์สามอย่าง (เวลา ไรท์แอสเซนชั่นและเดคลิเนชั่น) ในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ เขาทำนายทางเดินของซีรีสและส่งผลการคำนวณให้แก่ฟอน ซัค ในวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 1801 ฟอน ซัคและไฮน์ริช เว เอ็ม ออลแบร์สพบซีรีสใกล้กับตำแหน่งที่ทำนายและเป็นการพบอีกครั้งหนึ่ง
การสังเกตช่วงแรกเพียงสามารถคำนวณขนาดของซีรีสได้จากลำดับความสว่างเท่านั้น แฮร์เชลประเมินขนาดมันต่ำกว่าจริงที่ 260 กิโลเมตรใน ค.ศ. 1802 ขณะที่โยฮันน์ ฮีโรนือมุส ชเรอแทร์ประเมินขนาดสูงกว่าจริงที่ 2,613 กิโลเมตร
ชื่อ
ปีอาซซีเดิมเสนอชื่อ เซเรเร แฟร์ดีนันเดอา (Cerere Ferdinandea) สำหรับการค้นพบของเขา ตามชื่อเทพในตำนานเทพปกรณัมเซเรส (เทพีโรมันแห่งเกษตรกรรม ภาษาอิตาลีว่า เซเรเร) และพระเจ้าเฟอร์ดินันที่ 3 แห่งซิซิลี "แฟร์ดีนันเดอา" ไม่ได้รับการยอมรับต่อชาติอื่นในโลกและได้ตัดออก ซีรีสยังเรียกอีกชื่อว่า เฮรา เป็นช่วงสั้น ๆ ในเยอรมนี ในกรีซ ซีรีสเรียกว่า Δήμητρα (เดเมเทอร์) ตามเทพีกรีกที่ตรงกับซีรีสของโรมัน (แต่ในภาษาอังกฤษ ชื่อนั้นใช้สำหรับดาวเคราะห์น้อย 1108 เดเมเทอร์) นอกจากนี้ ชาติอื่น ๆ ยังได้เรียกชื่อต่างกันออกไป แต่ทั้งหมดหมายความถึงซีรีส สัญลักษณ์ทางดาราศาสตร์เก่าของซีรีสเป็นรูปเคียว(สัญลักษณ์รูปเคียวของซีรีส)คล้ายคลึงกับสัญลักษณ์ ♀ ของดาวศุกร์ แต่วงกลมไม่ขาด ภายหลังสัญลักษณ์นี้แทนด้วยวงกลมล้อมรอบตัวเลข ชื่อธาตุซีเรียม ซึ่งค้นพบใน ค.ศ. 1803 ตั้งตามชื่อซีรีส ในปีเดียวกัน อีกธาตุหนึ่งได้ตั้งชื่อตามซีรีสแต่แรก แต่ผู้ค้นพบมันเปลี่ยนชื่อเป็นพัลลาเดียม (ตามชื่อดาวเคราะห์น้อยดวงที่สอง 2 พัลลัส) เมื่อชื่อซีเรียมถูกตั้งไปแล้ว



3.อีริส


136199 อีริส (Eris) หรือ 2003 UB313 เป็นดาวเคราะห์แคระหนึ่งในวัตถุพ้นดาวเนปจูน (Trans-Neptunian Object - TNO) เป็นดาวเคราะห์แคระดวงใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะที่ถูกค้นพบในปัจจุบัน มีขนาดใหญ่กว่าดาวพลูโต มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2,400 กิโลเมตร มีดวงจันทร์บริวาร 1 ดวง ชื่อ ดิสโนเมีย (Dysnomia)

อีริสถูกค้นพบโดย ไมเคิล อี. บราวน์และคณะ เมื่อวันที่ 5 มกราคม ค.ศ. 2005 จากภาพที่ถ่ายไว้เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม ค.ศ. 2003 ด้วยกล้องโทรทรรศน์ของหอดูดาวพาโลมาร์ รัฐแคลิฟอร์เนีย คณะผู้ค้นพบได้เสนอให้ตั้งชื่อดาวที่พบใหม่นี้ว่า ซีนา (Xena) ตามชื่อของละครโทรทัศน์ Xena: Warrior Princess โดยตัวอักษร X หมายถึง ดาวเคราะห์ X ที่เปอร์ซิวัล โลเวลล์ เคยเสนอไว้ และให้ดวงจันทร์บริวารของมันใช้ชื่อว่า แกเบรียลล์ (Gabrielle) แต่ไม่ได้มีการประกาศใช้ชื่อนี้อย่างเป็นทางการ
ภายหลังการค้นพบ คณะผู้ค้นพบและนาซาได้ประกาศว่าอีริสเป็น ดาวเคราะห์ดวงที่ 10 แต่จากการประชุมสหพันธ์ดาราศาสตร์สากล ที่กรุงปราก สาธารณรัฐเช็ เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2549 ได้ข้อสรุปว่าอีริสไม่จัดเป็นดาวเคราะห์ แต่เป็นดาวเคราะห์แคระ
ชื่อ อีริส มาจากชื่อของเทพเจ้าแห่งความวุ่นวาย ผู้วางอุบายโดยใช้แอปเปิลทองคำ เพื่อทำให้เฮรา อาเทนา และอะโฟรไดต์ ซึ่งเป็นสามเทวีพรหมจรรย์ในบรรดาเทพแห่งโอลิมปัสแตกคอกัน เพราะว่าไม่ได้เชิญนางมางานเลี้ยงของเทพ ส่วน ดิสโนเมีย คือชื่อธิดาของอีริส
ไฟล์:2003 UB313 confronto pt.jpg

ไฟล์:Eris and Dysnomia art.png

4.เฮาเมอา


เฮาเมอา (อังกฤษ: Haumea; IPA: [haʊˈmeɪə]) มีชื่อเดิมว่า 136108 เฮาเมอา เป็นดาวเคราะห์แคระดวงหนึ่งในแถบไคเปอร์ มีมวลขนาดหนึ่งในสามของดาวพลูโต ถูกค้นพบในปี พ.ศ. 2547 โดยไมเคิล อี. บราวน์ (Michael E. Brown) และทีมค้นหาจากสถาบันเทคโนโลยีแคลิฟอร์เนีย (แคลเทค) และหอดูดาวเมานาเคอาในสหรัฐอเมริกา และในปี พ.ศ. 2548 โดยโคเซ ลุยส์ ออร์ติซ โมเรโน (José Luis Ortiz Moreno) และทีมค้นหาจากหอดูดาวเซียร์ราเนบาดาในประเทศสเปน (แต่การอ้างว่าเป็นผู้ค้นพบของฝ่ายหลังถูกโต้แย้ง) ในวันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2551 สหภาพดาราศาสตร์นานาชาติได้จัดดาวดวงนี้ให้อยู่ในกลุ่มของดาวเคราะห์แคระ และตั้งชื่อตามเฮาเมอา เทพีแห่งการให้กำเนิดของชาวฮาวาย

เฮาเมอามีลักษณะพิเศษต่างจากวัตถุพ้นดาวเนปจูนเท่าที่ค้นพบแล้วดวงอื่น ๆ เนื่องจากทำมุมห่างจากดวงอาทิตย์กว้างมาก แม้ว่ายังจะไม่มีการสำรวจรูปร่างของมันโดยตรง แต่จากการคำนวณจากเส้นความสว่าง (light curve) ทำให้สันนิษฐานได้ว่าดาวเคราะห์แคระดวงนี้เป็นวัตถุทรงรี มีแกนหลักยาวเป็นสองเท่าของแกนรอง แต่กระนั้นก็เชื่อว่ามันมีแรงโน้มถ่วงมากพอที่จะดึงดูดตัวเองให้อยู่ในภาวะสมดุลอุทกสถิต (hydrostatic equilibrium) ได้ ดังนั้นดาวดวงนี้จึงมีลักษณะตรงตามคำจำกัดความของดาวเคราะห์แคระ สันนิษฐานว่าการทำมุมเช่นนี้ รวมทั้งลักษณะอื่น ๆ เช่น การหมุนรอบตัวเองเร็วผิดปกติ ความหนาแน่นสูง และอัตราส่วนสะท้อน (albedo) สูง (ซึ่งเชื่อว่าเป็นเพราะชั้นน้ำแข็งบนพื้นผิว) เป็นผลมาจากการชนกันครั้งใหญ่ซึ่งทำให้เฮาเมอากลายเป็นสมาชิกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของตระกูลวัตถุที่เกิดจากการชนกัน (collisional family) ของมันเองซึ่งรวมดวงจันทร์บริวารที่ค้นพบแล้ว 2 ดวงของมันไว้ด้วย
ก่อนที่จะมีชื่อเรียกถาวร ทีมค้นหาของแคลเทคตั้งชื่อเล่นให้กับดาวดวงนี้ว่า ซานตา (Santa) เนื่องจากพวกเขาค้นพบดาวดวงนี้เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2547 หลังวันคริสต์มาส เมื่อทีมค้นหาชาวสเปนประกาศการค้นพบต่อศูนย์ดาวเคราะห์น้อย (MPC) ในปี พ.ศ. 2548 ดาวดวงนี้จึงมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกว่า (136108) 2003 EL61 โดยตัวเลข "2003" มาจากช่วงเวลาบนภาพถ่ายการค้นพบของทีมค้นหาชาวสเปน
จากแนวทางกว้าง ๆ ซึ่งสหภาพดาราศาสตร์นานาชาติเป็นผู้กำหนดขึ้นว่า วัตถุชั้นเอกในแถบไคเปอร์จะมีชื่อเรียกตามบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการสร้าง (creation) ในเทวตำนานต่าง ๆ ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2549 ทีมค้นหาจากแคลเทคจึงได้ส่งชื่อทางการสำหรับทั้งดาว 2003 EL61 และดวงจันทร์ที่ค้นพบทั้งสองดวงโดยนำชื่อมาจากเทวตำนานของฮาวายเพื่อที่จะ "แสดงความเคารพต่อสถานที่ที่ดาวบริวารเหล่านั้นถูกค้นพบ" ชื่อเหล่านั้นได้รับการเสนอจากเดวิด ราบิโนวิตซ์ หนึ่งในทีมค้นหาของแคลเทค เฮาเมอาเป็นเทพีผู้ปกป้องคุ้มครองเกาะฮาวายซึ่งเป็นที่ตั้งของหอดูดาวเมานาเคอา นอกจากนี้ ในฐานะที่เป็นเทพีของโลก พระองค์จึงเป็นตัวแทนของหิน ซึ่งก็มีความเหมาะสม เพราะสันนิษฐานกันว่าดาว 2003 EL61 มีโครงสร้างเป็นหินแข็งเกือบทั้งหมด ไม่ได้เป็นชั้นน้ำแข็งหนาที่ห่อหุ้มแก่นหินเล็ก ๆ ไว้ (ซึ่งถือเป็นลักษณะเฉพาะของวัตถุในแถบไคเปอร์ดวงอื่น ๆ) ประการสุดท้าย เฮาเมอาเป็นเทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์และการให้กำเนิด ตามตำนานกล่าวว่ามีเด็กหลายคนเกิดจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกายของพระองค์ สอดคล้องกับกลุ่มของก้อนน้ำแข็งที่เชื่อว่าแตกออกมาจากดาว 2003 EL61 ระหว่างเหตุการณ์การชนกันในอดีตครั้งหนึ่ง ดวงจันทร์บริวารทั้งสองซึ่งสันนิษฐานกันว่าเกิดขึ้นมาจากเหตุการณ์นี้เช่นกันจึงได้รับการตั้งชื่อตามธิดาของเฮาเมอาด้วย นั่นคือ ฮีอีอากา(Hiiaka) และนามากา (Namaka) 
5.มาคีมาคี



ดาวเคราะห์แคระ เป็นดาวชนิดหนึ่ง มีลักษณะคล้ายดาวเคราะห์ ตามการจำแนกชนิดดาวเคราะห์ที่เสนอโดยสหพันธ์ดาราศาสตร์สากล (International Astronomical Union :IAU) เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2549
นิยามได้เสนอขึ้น 24 สิงหาคม พ.ศ. 2549 ที่ประชุมสหพันธ์ดาราศาสตร์สากล ที่กรุงปราก สาธารณรัฐเช็ก ทำให้ดาวพลูโตกลายเป็นดาวเคราะห์แคระ หลังจากเคยยอมรับว่าเป็นดาวเคราะห์ดวงหนึ่งในระบบสุริยะ ทั้งนี้เพราะไม่สามารถควบคุมแรงดึงดูดและวงโคจรของสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบวงโคจรของมันได้
จนถึงปัจจุบัน มีวัตถุบนท้องฟ้าที่จัดเป็นดาวเคราะห์แคระ ได้แก่

ดาวพลูโต (โมโนแกรม:สัญลักษณ์ทางดาราศาสตร์ของดาวพลูโต ) เป็นดาวเคราะห์แคระในระบบสุริยะ อยู่นอกวงโคจรของดาวเนปจูนออกไป ในบริเวณแถบไคเปอร์ มีขนาดเล็กกว่า ดวงจันทร์ 7 ดวงในระบบสุริยะ (ดวงจันทร์ของโลก ไอโอ ยูโรปา แกนีมีด คัลลิสโต ไททัน และไทรตัน) ดาวพลูโตมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 2,390 กิโลเมตร มีดวงจันทร์บริวาร 5 ดวง ได้แก่ คารอน (มีขนาดประมาณ 1/5 ของพลูโต) นิกซ์ ไฮดรา (สองดวงนี้ ค้นพบเมื่อปี พ.ศ. 2548) S/2011 P 1 (P4, ค้นพบเมื่อปี พ.ศ. 2554) และ S/2012 P 1 (P5, ค้นพบเมื่อปี พ.ศ. 2555)

พลูโตเป็นเทพเจ้าแห่งเมืองบาดาลในเทพนิยายโรมัน หรือ เรียกว่า ฮาเดส ในเทพนิยายกรีก สันนิษฐานว่าสาเหตุหนึ่งที่ตั้งชื่อดาวดวงนี้ว่า พลูโต ก็เพื่อให้มีตัวอักษร "P-L" ในชื่อ เพื่อเป็นเกียรติแก่ เปอร์ซิวัล โลเวลล์ ในภาษาไทยอาจเรียกพลูโต ว่า ดาวยมหมายถึง ยมโลก หรือ นรก ซึ่งก็มีความหมายพ้องกับชื่อ พลูโต หรือ ฮาเดส ในตำนานกรีก
การค้นพบดาวพลูโต
ดาวพลูโตถูกค้นพบในปี พ.ศ. 2473 โดยบังเอิญ มีการคำนวณหาตำแหน่งดาวเคราะห์ดวงใหม่ถัดจาก ดาวเนปจูนโดยใช้ฐานข้อมูลการเคลื่อนที่ของดาวยูเรนัสและดาวเนปจูน แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ จนกระทั่งไคลด์ ทอมบอก์ (Clyde Tombaugh) แห่งหอดูดาว โลเวลล์ ในรัฐแอริโซนา ได้ทำการสำรวจท้องฟ้า และพบดาวพลูโตในที่สุด
ขณะนั้นถือว่าดาวพลูโตเป็นดาวเคราะห์ดวงที่ 9 ที่อยู่ห่างไกลจากดวงอาทิตย์มากที่สุด และเป็นดาวเคราะห์ดวงเล็กที่สุด เป็นเวลา 76 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2473-2549
หลังจากที่ได้ค้นพบดาวพลูโตแล้ว นักวิทยาศาสตร์ยังคงถกเถียงกันว่า ขนาดของดาวพลูโต เล็กเกินกว่าที่จะรบกวน วงโคจรของดาวเคราะห์ดวงอื่นได้ จะต้องมีดาวเคราะห์ดวงอื่นที่มีขนาดใหญ่กว่า จึงจะรบกวนดาวเนปจูนได้ ดังนั้นการค้นหาดาวเคราะห์ X จึงมีขึ้นต่อไป แต่ก็ไม่มีสิ่งใดถูกค้นพบเพิ่มเติม จนกระทั่ง ยานวอยเอเจอร์ 2 ได้ข้อมูลด้านมวลสารของดาวเนปจูนเพิ่มเติม ข้อถกเถียงดังกล่าวจึงหมดไป โดยไม่จำเป็นต้องมีดาวเคราะห์ดวงที่ 10
อย่างไรก็ตาม ในช่วงทศวรรษล่าสุดมีการค้นพบ วัตถุที่คล้ายดาวพลูโตมากมาย ในบริเวณเดียวกับดาวพลูโตที่เรียกว่า แถบไคเปอร์ และดาวพลูโตก็มีลักษณะไม่สอดคล้องกับกำเนิดของดาวเคราะห์อย่าง ดาวเคราะห์ก๊าซ หรือ ดาวเคราะห์หิน นำมาสู่หัวข้อในที่ประชุมสหพันธ์ดาราศาสตร์สากล ที่กรุงปราก

เฮาเมอามีดวงจันทร์บริวารเท่าที่ค้นพบแล้ว 2 ดวง คือ (136108) ฮีอีอากา (Hiʻiaka) และ (136108) นามากา (Namaka)  ดวงจันทร์ทั้งสองถูกค้นพบเมื่อปี พ.ศ. 2548 เพียงไม่กี่ปีหลังจากที่มีการบังดาวเฮาเมอาของฮีอีอากาเมื่อปี พ.ศ. 2542 ซึ่งการบังของฮีอีอากาจะไม่เกิดขึ้นอีกจนกว่าจะถึงปี พ.ศ. 2681 แต่นามากามีการบัง 5 ครั้งระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน พ.ศ. 2551 ทีมของไมก์ บราวน์ได้คำนวณการโคจรและคาดว่าการบังของนามากาอาจเกิดขึ้นอีก 2-3 ปี
ฮีอีอากาซึ่งทีมแคลเทคตั้งชื่อเล่นว่า "รูดอล์ฟ" (Rudolph) นี้เป็นดวงจันทร์ดวงแรกที่ถูกค้นพบเมื่อวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2548 เป็นดวงจันทร์ดวงนอกและดวงที่ใหญ่ที่สุด (ประมาณ 310 กิโลเมตร) และใช้เวลา 49 วันในการโคจรรอบดาวเฮาเมอา
นามากาซึ่งมีชื่อเล่นว่า "บลิตเซน" (Blitzen) ตั้งโดยทีมแคลเทคเช่นกัน ได้รับการประกาศการค้นพบเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2548 นามากาเป็นดวงจันทร์ที่มีขนาดเล็กกว่าและอยู่รอบใน โดยโคจรรอบดาวเฮาเมอาใช้เวลาประมาณ 34 วัน สันนิษฐานว่ามีวงโคจรเป็นวงกลม ระนาบวงโคจรเอียงทำมุมประมาณ 40° จากระนาบวงโคจรของดวงจันทร์ฮีอีอากา จากการสังเกตความสว่างของมันคาดว่ามีเส้นผ่านศูนย์กลางร้อยละ 12 ของดาวเฮาเมอาหรือประมาณ 170 กิโลเมตร และมีองค์ประกอบของพื้นผิวคล้ายกับของดวงจันทร์ฮีอีอากา
ในระบบสุริยะรอบนอก ดาวเคราะห์แคระเฮาเมอา มีดวงจันทร์บริวารเท่าที่ค้นพบแล้ว 2 ดวง คือ (136108) ฮีอีอากา (Hiʻiaka) และ (136108) นามากา (Namaka) ซึ่งตั้งชื่อตามเทพธิดาของชาวฮาวาย ดวงจันทร์ทั้งสองถูกค้นพบเมื่อปี พ.ศ. 2548 โดยการเฝ้าสังเกตการณ์ของหอดูดาวดับเบิลยู. เอ็ม. เค็ค ในรัฐฮาวายสหรัฐอเมริกา เพียงไม่กี่ปีหลังจากที่ฮีอีอากาบังดาวเฮาเมอาเมื่อปี พ.ศ. 2542 ซึ่งการบังของฮีอีอากาจะไม่เกิดขึ้นอีกจนกว่าจะถึงปี พ.ศ. 2681 แต่นามากามีการบัง 5 ครั้งระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน พ.ศ. 2551 ทีมของไมค์ บราวน์ ได้คำนวณการโคจรและคาดว่าการบังของนามากาอาจเกิดขึ้นอีก 2-3 ปี
ฮีอีอากาซึ่งทีมแคลเทคตั้งชื่อเล่นว่า "รูดอล์ฟ" (Rudolph) นี้เป็นดวงจันทร์ดวงแรกที่ถูกค้นพบเมื่อวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2548 เป็นดวงจันทร์ดวงนอกและดวงที่ใหญ่ที่สุด (ประมาณ 310 กิโลเมตร) และใช้เวลา 49 วันในการโคจรรอบดาวเฮาเมอา
นามากาซึ่งมีชื่อเล่นว่า "บลิตเซน" (Blitzen) ตั้งโดยทีมแคลเทคเช่นกัน ได้รับการประกาศการค้นพบเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2548 นามากาเป็นดวงจันทร์ที่มีขนาดเล็กกว่าและอยู่รอบใน โดยโคจรรอบดาวเฮาเมอาใช้เวลาประมาณ 34 วัน สันนิษฐานว่ามีวงโคจรเป็นวงกลม ระนาบวงโคจรเอียงทำมุมประมาณ 40° จากระนาบวงโคจรของดวงจันทร์ฮีอีอากา จากการสังเกตความสว่างของมันคาดว่ามีเส้นผ่านศูนย์กลางร้อยละ 12 ของดาวเฮาเมอาหรือประมาณ 170 กิโลเมตร และมีองค์ประกอบของพื้นผิวคล้ายกับของดวงจันทร์ ฮีอีอากา

ไฟล์:2003EL61art.jpg


มาคีมาคี (อังกฤษ: Makemake/ˌmɑːkiːˈmɑːkiː/; ภาษาราปานุย: มาเกมาเก [ˈmakeˈmake]) มีชื่อเดิมว่า (136472) มาคีมาคี เป็นดาวเคราะห์แคระที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 3 ในระบบสุริยะ (เท่าที่ค้นพบแล้วในขณะนี้) และเป็นหนึ่งในสองวัตถุที่ใหญ่ที่สุดของแถบไคเปอร์ (KBO) ซึ่งอยู่ในหมู่วัตถุชั้นเอกของแถบไคเปอร์ ดาวมาคีมาคีมีเส้นผ่านศูนย์กลางสามในสี่ของดาวพลูโต ไม่มีดวงจันทร์บริวาร ซึ่งแปลกจากวัตถุขนาดใหญ่อื่น ๆ แถบไคเปอร์ด้วยกัน อุณหภูมิเฉลี่ยที่ต่ำมากของดาวดวงนี้ (ปรมาณ 30 เคลวิน) แสดงให้เห็นว่าพื้นผิวของมันถูกปกคลุมด้วยมีเทน อีเทน และอาจจะมีไนโตรเจนแข็งด้วย

จากเริ่มแรกที่มีชื่อว่า 2005 FY9 (และต่อมามีหมายเลขดาวเคราะห์น้อย 136472 กำกับ) ดาวมาคีมาคีถูกค้นพบเมื่อวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2548 โดยไมเคิล อี. บราวน์ (Michael E. Brown) พร้อมทีมค้นหา ประกาศการค้นพบเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2548และในวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2551 สหภาพดาราศาสตร์นานาชาติได้รวมมาคีมาคีไว้ในรายชื่อวัตถุที่มีสภาพเหมาะสมที่จะได้รับสถานะ "พลูตอยด์" (Plutoid) ซึ่งเป็นคำที่ใช้เรียกประเภทของดาวเคราะห์แคระที่อยู่เลยวงโคจรของดาวเนปจูนออกไป บริเวณเดียวกับดาวพลูโตและดาวอีริส ในที่สุดมาคีมาคีก็ได้รับการจัดให้เป็นพลูตอยด์อย่างเป็นทางการในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2551
ดาวมาเกมาเกถูกค้นพบเมื่อวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2548 จากพร้อมทีมค้นหาที่มีไมเคิล อี. บราวน์เป็นผู้นำ มีการเผยแพร่ข่าวการค้นพบสู่สาธารณะเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2548 ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่มีการประกาศค้นพบดาวอีริสและตามหลังการประกาศค้นพบดาวเฮาเมอาเมื่อสองวันก่อน
แม้ว่าดาวมาเกมาเกจะมีความสว่างอยู่บ้าง แต่กลับไม่มีผู้ค้นพบมันจนกระทั่งหลังจากที่วัตถุแถบไคเปอร์อื่น ๆ จางลงมาก การค้นหาดาวเคราะห์น้อยส่วนใหญ่จะค้นหาจากท้องฟ้าที่อยู่ใกล้กับแนวสุริยวิถี (บริเวณบนท้องฟ้าที่ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวเคราะห์ต่าง ๆ ปรากฏเมื่อมองจากโลก) เนื่องจากมีความเป็นไปได้สูงมากที่จะพบวัตถุฟากฟ้าใหม่ ๆ ที่บริเวณนั้น แต่เนื่องจากวงโคจรของดาวมาคีมาคีมีระนาบเอียงมาก และยังอยู่ในระยะไกลจากแนวสุริยวิถีมากที่สุดในขณะที่ถูกค้นพบ (ทางด้านเหนือของกลุ่มดาวผมเบเรนิซ) จึงเป็นไปได้ว่ามันอาจจะรอดพ้นจากการถูกตรวจพบในการสำรวจครั้งก่อน ๆ ไปได้
นอกจากดาวพลูโตแล้ว ดาวมาเกมาเกเป็นดาวเคราะห์แคระเพียงดวงเดียวที่สว่างมากพอที่ไคลด์ ทอมบอ (Clyde Tombaugh) อาจค้นพบได้ระหว่างการค้นหาดาวเคราะห์พ้นดาวเนปจูนประมาณคริสต์ทศวรรษ 1930 ในช่วงเวลาที่ทอมบอทำการสำรวจอยู่นั้น มาคีมาคีมีตำแหน่งอยู่ห่างจากแนวสุริยวิถีเพียงไม่กี่องศา ใกล้กับเขตแดนของกลุ่มดาววัวและกลุ่มดาวสารถี โดยมีอัตราความสว่างปรากฏอยู่ที่ 16.0 อย่างไรก็ตาม ตำแหน่งนี้ก็ยังอยู่ใกล้กับทางช้างเผือก จึงแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะพบดาวดวงนี้ท่ามกลางพื้นหลังที่หนาแน่นไปด้วยดวงดาว ทอมบอยังคงค้นหาต่อไปอีกหลายปีหลังจากที่เขาค้นพบดาวพลูโต แต่เขาก็ประสบความล้มเหลวในการค้นพบดาวมาเกมาเกหรือดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ ที่อยู่ถัดจากดาวเนปจูนออกไป
ดาวมาเกมาเกมีชื่อชั่วคราวว่า 2005 FY9 เมื่อข่าวการค้นพบได้รับการเผยแพร่สู่สาธารณะ โดยก่อนหน้านั้นทีมค้นหาได้ใช้ชื่อรหัสว่า อีสเตอร์บันนี (Easter Bunny) เรียกดาวดวงนี้ เพราะได้พบมันไม่นานหลังจากวันอีสเตอร์ได้ผ่านไป
และในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2551 เพื่อให้สอดคล้องกับกฎการตั้งชื่อของสหภาพดาราศาสตร์นานาชาติสำหรับวัตถุชั้นเอกในแถบไคเปอร์ ดาว 2005 FY9 ก็ได้รับการตั้งชื่อตามชื่อของเทพผู้สร้างพระองค์หนึ่ง โดยชื่อมาคีมาคี (Makemake) เทพเจ้าผู้ให้กำเนิดมนุษยชาติและเทพเจ้าแห่งความอุดมสมบูรณ์ในเทวตำนานของชาวราปานุยซึ่งเป็นชนพื้นเมืองของเกาะอีสเตอร์ ได้รับการคัดเลือกให้เป็นส่วนหนึ่งในการรักษาความเชื่อมโยงระหว่างดาวดวงนี้กับวันอีสเตอร์ไว้
ไฟล์:2005FY9art.jpg

ไฟล์:Sedna Size Comparisons.jpg

ไฟล์:TheTransneptunians 73AU.svg